Thursday, October 7, 2010

คาราเต้


คาราเต้ (ญี่ปุ่น: 空手 karate คะระเตะ ?) หรือ คาราเต้โด (ญี่ปุ่น: 空手道 karatedō คะระเตะโด วิถีมือเปล่า ?) เป็นศิลปะการต่อสู้ถือกำเนิดที่โอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นการผสมผสานระหว่างการต่อสู้ของชาวโอะกินะวะและชาวจีน คาราเต้ได้เผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) เมื่อชาวโอะกินะวะอพยพเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น
คาราเต้มักถูกเข้าใจผิดว่า เป็นการต่อสู้ด้วยการฟันอิฐ แต่ที่จริงแล้ว คือการต่อสู้ด้วยการใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น กำปั้น เท้า สันมือ นิ้ว ศอก เป็นต้น แต่เมื่อถูกดัดแปลงเป็นกีฬาแล้วเหลือเพียงมือและเท้า
สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 โอะกินะวะได้มีการติดต่อการค้ากับทางจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีมานานมากตั้งแต่สมัยอดีต ในขณะนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วิชาการความรู้แขนงต่างๆ รวมถึงศิลปะการป้องกันตัว โอะกินะวะได้มีศิลปะการต่อสู้ประจำอยู่แล้ว และได้ผสมผสานกับทักษะที่ได้รับมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งก็คือมวยใต้ และเส้าหลินใต้ในฟูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) แล้วพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมา จนสามารถเรียกว่าเป็นต้นป้นกำเนิดของคาราเต้ โดยโอะกินะวะจะเรียกศิลปะป้องกันตัวของตนเองว่า โทเต้ (唐手Tode) ในภาษาโอะกินะวะ หรือในภาษาญี่ปุ่นจะเรียก โอะกินะวะเต้ (沖縄手 Okinawa Te) โดย โอะกินะวะเต้ จะมีวิชาที่สามารถแยกเป็นจุดเด่นของแต่ละสำนัก หลักๆ ได้แก่ 3 สำนักหลัก ซึ่งชื่อสำนักได้ตั้งตามชื่อเมืองใหญ่ที่วิชานั้นๆ อาศัยอยู่ ได้แก่ ชูริเต้(Shuri Te) นาฮาเต้(Naha Te) และโทมาริเต้(Tomari Te)

ความหมายคำว่า คาราเต้

คำว่า "คาราเต้" เดิมทีมาจากการออกเสียงแบบชาวโอะกินะวะ ตัว "คารา" ในภาษาจีน หมายถึง "ประเทศจีน" หรือ "ราชวงศ์ถัง" ส่วน "เต้" หมายถึง มือ คาราเต้ หมายความว่า "ฝ่ามือจีน" หรือ "ฝ่ามือราชวงศ์ถัง" หรือ "กำปั้นจีน" หรือ "ทักษะการต่อสู้แบบจีน" ในรูปแบบการเขียนแบบนี้ "ฝ่ามือราชวงศ์ถัง" จึงหมายถึง การต่อยมวยแบบถัง หรือ "ฝ่ามือจีน" ก็บ่งบอกถึงอิทธิพลที่รับมาจากลักษณะการต่อสู้ของชาวจีน ในปีค.ศ. 1933 หลังจากสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 2 กิชิน ฟุนาโคชิ ( 船越義珍 Funakoshi Gichin, 1868-1957 ) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ บิดาแห่งคาราเต้สมัยใหม่ ได้เปลี่ยนตัวอักษร "คารา" ไปเป็นตัวอักษรที่มีเสียงเหมือนกันแต่มีความหมายว่า "ความว่างเปล่า" แทน
เมื่อปีค.ศ. 1936 หนังสือเล่มที่สองของฟุนาโคชิใช้ตัวอักษร "คารา" ที่มีความหมายว่าความว่างเปล่า และในการชุมนุมบรรดาอาจารย์ชาวโอะกินะวะก็ใช้ตัวอักษรเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมาคำว่า "คาราเต้" ( ซึ่งออกเสียงเหมือนเดิม แต่ใช้ตัวอักษรใหม่ ) จึงหมายถึง "มือเปล่า"
คำว่า "มือเปล่า" ไม่เพียงแต่นักคาราเต้จะต่อสู้โดยปราศจากอาวุธแล้ว ยังซ่อนความหมายตามความเชื่อแบบเซ็นไว้ด้วย เพราะตามวิถีแห่งเซ็นการพัฒนาความสามารถ และศิลปะของแต่ละบุคคล จะต้องทำจิตใจให้ว่างเปล่า ละเว้นจากความปรารถนา ความมีทิฐิและกิเลสต่างๆ
คาราเต้ แปลว่า วิถีแห่งการใช้มือ (ร่างกาย) ต่อสู้โดยปราศจากอาวุธ วิถีแห่งคาราเต้เป็นวิธีการดึงพลังจากทั้งร่างมารวมให้เป็นหนึ่งในการต่อสู้โจมตี ซึ่งความรุนแรงของการโจมตีนั้นมีคำกล่าวถึงว่า "อิคเคน ฮิซัทสึ"( 一拳必殺 ) หรือ "พิชิตในหมัดเดียว" สิ่งที่สำคัญของคาราเต้คือการต่อสู้กับตนเอง เช่นการฝึกยั้งแรงการโจมตี โดยใช้ในการหยุดโจมตีเมื่อสัมผัสร่างกายคู่ต่อสู้แม้เพียงเล็กน้อย เพื่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บไม่มากและป้องกันการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการฝึกการกำหนดความรุนแรงของการโจมตี เมื่อผู้ฝึกสามารถยั้งแรงได้ เขาก็จะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีได้จนถึงขีดความสามารถเช่นเดียวกัน
คำว่า โด แปลว่า วิถีทาง ลู่ทาง ศาสตร์ อีกทั้งยังหมายถึงปรัชญาเต๋าอีกด้วย โด เป็นคำต่อท้ายที่ใช้สำหรับศิลปะหลายชนิด ให้ความหมายว่า นอกจากจะศิลปะเหล่านั้นจะเป็นทักษะแล้ว ยังต้องมีพื้นฐานของจิตวิญญาณอยู่ด้วย สำหรับในความหมายที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้ อาจจะแปลได้ว่า "วิถีแห่ง..." เช่น ใน ไอคิโด ยูโด เคนโด ดังนั้น "คาราเต้โด" จึงหมายถึง "วิถีแห่งมือเปล่า"
"โด" อาจมองได้ 2 แบบ คือ แบบปรัชญา และแบบกีฬา
"โด" แบบปรัชญา ด้วยความหมายที่แปลว่า วิถีทาง และเป็นชื่อศาสนาเต๋าของศาสดาเหล่าจื๊อ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในด้านปรัชญาพุทธศาสนานิกายเซนของญี่ปุ่น การตีความหมายคำนี้ จึงอาจมองได้ว่า วิถีทางการดำเนินชีวิต จิตวิญญาณของนักคาราเต้ เป็นต้น ซึ่งนักคาราเต้บางท่าน อาจใช้ คาราเต้ เป็นวิถีแห่งการเข้าถึง จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ(เต๋า เซน) ได้ ดังนั้น คำว่า "โด" ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนจำมีวิธีการในการเดินแตกต่างกัน
"โด" แบบกีฬา จริง ๆ ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีทั้งคำว่า คาราเต้ และ คาราเต้โด ทำไมต้องเพิ่มคำว่า โด คำว่า "โด" เริ่มใช้ครั้งแรกในศิลปะป้องกันตัว ยูโด โดยปรมาจารย์จิกาโร่ คาโน แห่งโคโดกันยูโด เพื่อเปลี่ยนแปลง และแบ่งแยกวิชาใหม่ โดยแยกตัวออกจากวิชา ยูยิทสุ ซึ่งยูโดได้ตัดทอนกระบวนท่าที่อันตรายออกไป เพื่อการฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ และสามารถจัดการแข่งขันได้
คาราเต้ แต่เดิมไม่มีคำว่าโด เช่นกัน แต่ก่อนจะเรียกว่า คาราเต้จิทสุ หรือว่า คาราเต้ แต่เริ่มใช้คำว่า "โด" เมื่อมีการจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศ ซึ่งต้องรวมนักคาราเต้จากทั้ง 4 สำนักใหญ่เข้าไว้ จึงต้องบัญญัติกฏการแข่งขันใหม่ ลดทอนการจู่โจมที่อันตราย และสามารถแข่งขันกันได้อย่างเต็มที่ และเป็นกลางที่สุด คำว่า "โด" ในคาราเต้จึงเกิดขึ้น และมีความหมายว่า วิถีทางการต่อสู้ในรูปแบบของคาราเต้ ซึ่งคำว่าคาราเต้โด โดยมากจะใช้ในการแข่งขัน

การฝึกฝน

ขั้นตอนการฝึกของคาราเต้โด จะเริ่มต้นที่การสอนธรรมเนียมปฏิบัติ เช่นท่าเคารพต่าง ๆ การปฏิบัติตนต่อเซนเซ (อาจารย์) เซมไป (รุ่นพี่) มารยาทในโดโจ (โรงฝึก) ระเบียบในการฝึกต่างๆ แล้วจึงสอนหลักในวิชาคาราเต้ โดยจะเริ่มต้นที่การยืนในท่าชิเซนไต (ท่ายืนธรรมชาติ) , ซึกิ (ท่าชก) , อุเกะ (ท่าปัดป้อง) , เกริ (ท่าเตะ) , ดาจิ (ท่ายืนและการย่างก้าว) และนำท่าชกปัดหรือเตะมารวมกับท่าย่างก้าว จนเป็นท่ากิฮ้อง (พื้นฐาน) ต่างๆ เมื่อนำท่าพื้นฐานมาฝึกเข้าคู่กัน โดยให้ฝ่ายหนึ่งบุกฝ่ายหนึ่งรับ ก็จะเป็นการฝึกเพื่อเพิ่มทักษะคูมิเต้ (การต่อสู้) และที่การรวมท่าพื้นฐานต่างๆ มาร้อยเรียงเป็นเพลงมวยไว้รำ หรือที่เรียกว่ากาต้า เพื่อใช้ฝึกสมาธิ และเทคนิครูปแบบในการต่อสู้ต่างๆ
สิ่งสำคัญที่จะรวมเป็นนักคาราเต้ที่ดีได้ต้องมีทั้งความเป็น "คาราเต้" และต้องมี "โด" ในจิตใจ โดย คาราเต้ ต้องประกอบด้วย 3K คือ Kihon ( 基本 กิฮ้อง ) เป็นท่าพื้นฐาน Kumite ( 組手 คุมิเต้ ) เป็นการต่อสู้ Kata ( คาตะ ) เป็นท่าเพลงมวย รวมแล้วเป็น KARATE ( 空手 คาราเต้ ) เป็นการฝึกเพื่อให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง และสามารถต่อสู้ป้องกันตัว ช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในยามคับขัน และสิ่งสุดท้ายคือ DO ( โด ) ในคำว่า คาราเต้โด คือการฝึกตนเองให้มีระเบียบวินัยต่อตนเองและผู้อื่น มารยาทกาลเทศะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และหลักปรัชญาพุทธนิกายเซน โดย โด เป็นสิ่งที่ควบคุมจิตใจไม่ให้นักคาราเต้ไปทำร้ายผู้อื่นได้เหมือนดาบในฝัก ดังนั้นนักคาราเต้จึงไม่เป็นแค่นักสู้เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีงามอีกด้วย


หอม ไอซ์ ศรัณยู



เธอไม่ใช่ดอกไม้หรอก แต่ไม่ใช่ก็เหมือนอยู่
เป็นอะไรไม่รู้ฉันอยากเป็นแมลง บินมาอยู่ตรงหน้าเธอ
อยากจะอยู่ใกล้ๆเธอ คนอะไรไม่รู้เย้ายวนใจอย่างแรง

ใครจะมาตอม ใครจะดอมดม ฉันไม่สนขอชมให้ชื่นใจ
มันจะเป็นไง มันก็เป็นกัน ฉันจะขอบินเข้าใส่

เธอหอม แบบไม่ต้องใส่น้ำหอม ใจฉันมันยังต้องยอม
ก็หอมกระจายได้อีกอยากได้กลิ่นอีก
หอม สดชื่นจนอยากจะหอม อยากได้เธอมาไว้ครอง
ถนอมเธอทั้งเนื้อตัวและหัวใจเลย

ฉันไม่ใช่ช่อมาลี ฉันไม่ใช่แค่ราตรี
ฉันไม่ใช่ดอกไม้ จะได้ยอม จะได้ยอม
ฉันไม่ใช่เล็บมือนาง ฉันไม่ใช่แค่กุหลาบ
ฉันไม่ใช่ดอกไม้คงไม่ยอมคงไม่ยอม

ตัวเธอมันก็หอมอยู่ มือเธอคงยิ่งหอมกว่า
มันก็อยากจะรู้แก้มเธอขนาดไหน
อยู่ห่างๆก็ได้กลิ่น มันรัญจวนจนได้ใจ
ก็มันอยากจะขอใกล้เธอมากกว่านี้

ใครจะมาตอม ใครจะดอมดม ฉันไม่สนขอชมให้ชื่นใจ
มันจะเป็นไง มันก็เป็นกัน ฉันจะขอบินเข้าใส่

เธอหอม แบบไม่ต้องใส่น้ำหอม ใจฉันมันยังต้องยอม
ก็หอมกระจายได้อีกอยากได้กลิ่นอีก
หอม สดชื่นจนอยากจะหอม อยากได้เธอมาไว้ครอง
ถนอมเธอทั้งเนื้อตัวและหัวใจเลย

ฉันไม่ใช่ช่อมาลี ฉันไม่ใช่แค่ราตรี
ฉันไม่ใช่ดอกไม้จะได้ยอมจะได้ยอม
ฉันไม่ใช่เล็บมือนาง ฉันไม่ใช่แค่กุหลาบ
ฉันไม่ใช่ดอกไม้คงไม่ยอมคงไม่ยอม

เธอหอม แบบไม่ต้องใส่น้ำหอม ใจฉันมันยังต้องยอม
ก็หอมกระจายได้อีกอยากได้กลิ่นอีก
หอม สดชื่นจนอยากจะหอม อยากได้เธอมาไว้ครอง
ถนอมเธอทั้งเนื้อตัวและหัวใจเลย

ฉันไม่ใช่ช่อมาลี ฉันไม่ใช่แค่ราตรี
ฉันไม่ใช่ดอกไม้จะได้ยอมจะได้ยอม
ฉันไม่ใช่เล็บมือนาง ฉันไม่ใช่แค่กุหลาบ
ฉันไม่ใช่ดอกไม้คงไม่ยอมคงไม่ยอม

Monday, September 6, 2010

Bora Bora


Bora Bora is an island in the Leeward group of the Society Islands of French Polynesia, an overseas collectivity of France in the Pacific Ocean. The island, located about 230 kilometres (140 mi) northwest of Papeete, is surrounded by a lagoon and a barrier reef. In the center of the island are the remnants of an extinct volcano rising to two peaks, Mount Pahia and Mount Otemanu, the highest point at 727 metres (2,385 ft). The original name of the island in the Tahitian language might be better rendered as Pora Pora, meaning "First Born"; an early transcription found in 18th- and 19th century accounts, is Bolabolla or Bollabolla.

The major settlement, Vaitape is on the western side of the island, opposite the main channel into the lagoon. The products of the island are mostly limited to what can be obtained from the sea and coconut trees, which were historically of economic importance for copra. During the August 2007 census, the population on the island was about 8,880 people.